วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

BaTmAn :: Bali is so RomAntic (Part 2)

.
.
.
.

Bali is so RomAntic (Part 2)
.
.


ช่วงนี้ไม่มีโปรแกรมออกไปตรวจงานที่ต่างจังหวัด ลั๊นลาอยู่ใน กทม.นี่แหละ แต่เน็ตที่กรมฯ ดันเจ๊งซะง๊านแหละ .....เกิดอาการเซ็งเป็ด จะทำงานส่งอาจารย์ก็ทำไม่ได้

หมอนกเล่าที่มาของคำว่า “ เซ็งเป็ด” ที่พี่หมอที่ทำงานโรงพยาบาลเดียวกะหมอนก เล่าเอาไว้ว่า ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ พากันไปเที่ยว ไปเที่ยวมากี่ครั้ง ๆ เป็ดก็ชวนเพื่อนกลับท่าเดียว ด้วยคำร้อง ก๊าบ ก๊าบ กั๊บ กั๊บ ......แล้วงี้เพื่อนจะไม่เซ็งเป็ดอย่างไงไหวล่ะ

ครั้งที่แล้วที่ไปบาหลี และไปพักที่เมือง Ubud เราได้ซื้อโปรแกรมทัวร์จากที่พักเรา Swan Inn ไปเที่ยว Kintamani ในราคาคนละ ๑๗๐.๐๐๐ รูเปี๊ยะห์ (ไม่รวมค่าผ่านประตู ค่าข้าว )

มีเส้นทางท่องเที่ยวจากเมือง Ubud ไป Kintamani แวะท่องเที่ยววัด และสถานท่องเที่ยวรายทางไปเรื่อย ๆ โดยมีลุง Dewa เป็นพนักงานขับรถและไกด์ให้กับทริปของเรา

เพื่อนร่วมทริปของเรา เป็นสาวฝรั่งเศส ๑ คน สาวออสเตรเลีย ที่เกิดในเมืองไทย เรียนโรงเรียนไทย หน้าตาฝรั่งจ๋า แต่พูดไทยชัดแจ๋ว เธอมาเที่ยวกะหนุ่มมาเลเซีย แล้วก็เราคนไทย ๒ คน ทำไปทำมา เหมือนมีคนไทย ๓ คน รวมลุง Dewa ด้วยเป็น ๖ คน ด้วยรถ Toyata Kijang




ที่แรกของทริป คือ Goa Gajah (กัวกาจา หรือ ถ้ำช้าง) ที่นี้ถูกค้นพบโดยกองทัพเนเธอแลนด์ เมื่อครั้งเข้ามายึดเกาะบาหลี ปี ๑๙๒๓ ถ้ำช้างอยู่ต่ำกว่าพื้นดินปกติมากเอาการ เลยหละ หน้าถ้ำเป็นรูปช้าง

เราเดินเข้าไปในถ้ำ เหมือนอ้อยเข้าไปในปากช้าง เส้นทางเดินภายในถ้ำเป็นรูปตัว T ด้านหนึ่งเป็นรูปพระพิฆเนศ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปปั้นศิวลึงค์ ๓ แท่ง แทนเทพ ๓ องค์ คือ พระศิวะ พระนารายณ์ พระวิษณุ




เราเสียค่าธรรมเนียมค่าเข้า อ่านป้ายประกาศหน้าวัด มีข้อความว่า ห้ามคนที่มีประจำเดือนเข้าไปในสถานที่นี้อย่างเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ใครนอกจากนักท่องเที่ยวเองแหละ

ว่ากันว่า คนที่มีประจำเดือน หากเข้าไปในวัดจะมีอาการคันเนื้อคันตัวออกมาเลยล่ะ บางวัดจะมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์กลิ่นกันเลยล่ะ เขาว่าคนมีประจำเดือนจะมีกลิ่นไม่เหมือนใคร .. แน่ละสิ มันคงไม่หอมเท่าไหร่หรอก




ที่วัดนี้มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำไหลออกจากปากปล่องที่แกะสลักเป็นรูปอิสตรี ๖ นาง ที่เชื่อกันว่า พระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำขึ้นมา เชื่อกันอีกว่า ใครได้มากินน้ำ อาบน้ำ ที่บ่อศักดิ์สิทธิ์นี้ จะมีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง ....อย่างเรา ๆ คงหมดสิทธิ์ คริ คริ




วัดนี้ มีต้นไม่ใหญ่มาก ๆ หลายต้น คนบาหลีเชื่อมั่นและเคร่งครัดในศาสนาอย่างมาก เขาจะไม่ตัดไม้ ทำลายป่า เพราะเขาเชื่อว่า ต้นไม้ ก็มีชีวิตเหมือนอย่างเรา ๆ รู้จักหิว รู้จักหนาว รู้จักที่จะรักมีชีวิตยืนยาว





ออกจาก ถ้ำช้าง Goa Gajah ลุง Dewa พาเราไป Pura Tirta Empul หรือ Tempaksiring หรือ วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่า พระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำ ขึ้นมาเช่นกัน ตอนที่เราไปเป็นช่วง Ceramony ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทยอยกันมาเรื่อย ๆ





ประตูทางเข้า Pura Tirta Empul เล็กนิดเดียวเอง สร้างตามคติความเชื่อของคนบาหลี เหนือประตูสูงสุดเป็นรูปหน้า Barong สอบถามได้ความว่า เป็นเทพของคนบาหลี




เข้าวัด ทำบุญ ผู้ชายจะแต่งตัวแบบนี้ เรียกได้ว่า เป็นเครื่องแบบประจำชนเผ่าบาหลีก็ว่าได้ เห็นได้ทั่วไปทั้งบริษัท สถานที่ราชการ และร้านค้าในสนามบิน




บนยอดเขา เป็นบ้านพักของอดีตประธานาธิบดี ซูการ์โน ที่ว่ากันว่า มาสร้างบ้านพักเพื่อมาดูสาวบาหลี เปลือยอกอาบน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ลุง Dewa บอกว่า ประธานาธิบดีคนนี้มีเมียเยอะ ... ก็คงมาจากกิเลสตัณหาจากการดูสาว ๆ นี่แหละ

ส่วนผู้หญิงที่เดินอยู่เดินล่าง ถือแกลลอนมาใส่น้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มไม้เต็มมือเลยล่ะ มีน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ใส่ขวดวางขายด้วยดิ





บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายอาบน้ำ ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู ผู้หญิง จะต้องเปลือยอกอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเราก็เห็นป้าคนหนึ่ง พยายามทำกระโจมอกหลวม ๆ
ไล่อาบตั้งแต่จุดที่ ๑ ไปจนจุดสุดท้าย เป็นอันเสร็จพิธี ... ใครก็ตามที่ได้อาบน้ำแล้วจะ พบ กับความโชคดีตลอดไป .. อยากลงไปอาบกะเขาเหมือนกัน ไหน ๆ ก็มาถึงบาหลีแระ อย่าคิดนะ ว่าดำด๊ำจะเปลือยอกอาบน้ำเหมือนอย่างเขา

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เปิดให้คนนอกเขาไปดูได้ ไม่หวงห้าม ตอนที่เราเข้าไป มีหนุ่มฝรั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าไปอาบน้ำกะเขาด้วย




เครื่องบูชาเทพของคนบาหลี ที่นับถือ พระนารายณ์ พระอิศวร และพระวิษณุ เดินไปดูใกล้ ๆ เห็นผ้าสีพับ ไว้ใส่พาน แล้วดอกไม้พวกลีลาวดี เฟื่องฟ้า ใบข่าหรืออะไรสักอย่างหั่นฝอย ๆ ใส่กระทงเล็ก ๆ ใบมะพร้าวทำเป็นลวดลาย ประดับประดาสวยงาม มีสัปทนกลางกั้นไว้ด้วย



คนบาหลี ไม่นิยมทำรูปบูชา เหมือนอย่างบ้านเรา ศรัทธาอยู่ในใจ ศาลาที่เห็นก็เป็นศาลาเปล่า ๆ ไม่มีรูปปั้นหรืออะไร ข้างในทางสีด้วยสีแดง สีทอง ประดับด้วยกระจกสี ดูสวยงาม ส่วนหลังคามุงด้วยหญ้าอะลัง ซึ่งเป็นหญ้าพื้นเมืองของเขา .. มุงอย่างแน่นหนา รับรองไม่มีรั่วอย่างเด็ดขาด



ตอนเข้าไป เขากำลังทำพิธีกรรมอยู่ ผู้นำแต่งชุดขาว แล้วก็มีชาวบ้านมานั่งร่วมพิธี เห็นแว๊บ ๆ ว่ามีเทน้ำลงพื้น ดูคล้ายกับการกรวดน้ำอย่างที่พุทธเราทำ

มีป้ายเตือน ห้ามนักท่องเที่ยวเดินหรือหยุดบริเวณทำพิธี แต่เราเห็นนักท่องเที่ยวผิวเหลืองจากฝั่งตะวันออกเดินทำทองไม่รู้ร้อน .. มีตาหามีแววไม่



ศาลาที่ตบแต่งอย่างสวยงาม น่าจะเป็นศาลาเทพซะมากกว่า เห็นด้านบนเป็นรูป Barong ด้วยดิ




เสร็จจากเที่ยววัด Tempaksiring ตอนเดินออกมา หมอนกโดนคนขายที่ระลึกฉุดรั้งให้ดูสินค้าก่อน แถมคนบาหลีที่นี่ พูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัดแจ๋ว

ที่สำคัญ ใคร ๆ ก็หาว่าหมอนกเป็นญี่ปุ่น แต่ไหงแกพูดไทยใส่หว่า ทั้ง ๆ ที่คณะของเรารวมมิตรจะตายไป

ลุง Dewa พาไปชิมกาแฟบาหลี ก่อนเข้าถึงร้านกาแฟ มีสวนพฤกษศาสตร์เล็ก ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ด้วยแหละ

รูปนี้ ลุง Dewa บอกว่าเป็นฟักทองบาหลี ดูแล้วคล้าย ๆ ลูกมะระแม้วมากกว่า ไอ้ครั้นจะพูดว่าเหมือนฟักแม้ว ก็กลัวลุง Dewa เข้าใจว่า Fuck meaw …. คนไทยคิดมิดีมิร้ายกะแมวแน่ ๆ เลย

* คนบาหลีเรียก “ แมว ” เหมือนกับบ้านเราเปี๊ยบเลย คำว่า แมว เลยเป็นคำสากลสำหรับไทยกะบาหลีไปแระ



เข้าไปถึงหน้าร้านกาแฟ มีป้าคนนี้มาสาธิตวิธีการคั่วกาแฟให้นักท่องเที่ยวดู คงอยู่มานาน จนรู้มุมกล้องนักท่องเที่ยวไปหมดแระ ... เห็นควันไฟโขมงในสวน ชวนนึกถึงบ้านผีปอบซะทุกทีเลย คริ คริ




ลูกสีเหลืองคือโกโก้ เอามาทำช็อคโกแล็ต ส่วนเม็ดเล็ก ๆ ในถาด เป็นเม็ดกาแฟ ฝักยาว ๆ ในถาดขาว เป็นวนิลา





เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ทางร้านทำให้นักท่องเที่ยวชิมฟรี ไม่เสียตังค์ มีกาแฟ ช็อคโกแลต น้ำมะตูม แล้วก็กาแฟผสมโสม ทุกถ้วยอร่อยหมดเลย

ส่วนที่อยู่ในตุ่มเล็ก ๆ เป็นอบเชย เอาไว้แต่งกลิ่นกาแฟ ... เราไม่กล้าใส่หรอก เพราะไม่เคยกินกะกาแฟ เคยกินที่อยู่ในเครื่องแกงเท่านั้นแหละ

หมอนกซื้อกาแฟกลับมาฝากพี่หมอ เพื่อนหมอที่เมืองไทย คนขายชื่อ Dewa No2 ( ชื่อเหมือนลุง Dewa) พูดภาษาไทยได้ งานนี้ด่ำ ด๊ำเลยต่อโหด โทษฐานที่พูดภาษาไทยได้ แต่ก็หมดไปเป็นหลักแสน เหมือนกัน





ตัวนี้เป็น Lawak ต้นกำเนิดของทฤษฏี Detoxification มันเป็นสัตว์ป่าที่มากินเม็ดกาแฟแล้วทำให้ถ่ายท้อง

คนเลยลอกเลียนแบบมันเสียเลย Detox ของเสียออกจากร่างกาย ด้วยกาแฟ จะกิน หรือสวนก้น สุดแต่ใจจะไขว่คว้าแล้วกัน




เสร็จแล้วลุง Dewa ก็พาไป Lake Batur ต่อ ถนนเริ่มแคบลง คดโค้ง ขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ อากาศเริ่มเย็นลงไปทุกที ๆ




ทะเลสาบ Batur แห่ง Kintamani เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบาหลี ชาวบาหลีเชื่อกันว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สถิตของเทวีดานู เจ้าหญิงแห่งทะเลสาบ ...วันนี้มีเมฆฝนเยอะ ฟ้าไม่ใส ทะเลสาบก็เลยไม่สวย




แต่ถึงเมฆจะเยอะยังไง ก็ยังมีช่องทางให้นักเดินทางอย่างเรา ๆ เห็น Mount Akung ภูเขาไฟที่ยิ่งใหญ่ของบาหลีกันบ้างล่ะ




หนุ่มผมทองคนนี้ เช่ารถ Vespa ขับมาจากเมือง Ubud ... คราวหน้าจะเช่าขับบ้าง หมอกล้าซ้อนท้าย ด่ำ ด๊ำป่าว




เที่ยวมาครึ่งวันแล้ว ลุง Dewa พาเราไปหม่ำข้าวที่ร้าน Mahagiri ที่ Kitamani ที่นี่มีที่พักด้วย แถมมีกีฬาแบบ Adventure แบบล่องแก่งให้เล่นด้วยล่ะ

ถนนดำ ๆ หน้าร้าน เป็นถนนวิ่งระหว่างเมือง Ubud – Kintamani เล็กมาก แถมคดโค้ง ป้ายบอกทางก็ไม่มีอีกต่างหาก ... ใครเก่งจริงก็เชิญได้เลย






มองจากร้านอาหารเห็น Rice terrace นาข้าวแบบขั้นบันไดอยู่เบื้องล่าง ....ภูมิปัญญาของคนบาหลี ที่คนไทยไม่เคยเอาเป็นเยี่ยงอย่างสักที




ใครต้องการพักแบบธรรมชาติ เล่นกีฬาแบบผาดโผน ติดต่อได้ที่ รีสอร์ทของ Mahagiri




สาวคนนี้ หน้าตาบาหลีแท้ ๆ ผิวเข้ม ตาคม ขนตางอนเช๊ง แบบไม่ต้องใช้ขนตาปลอม ทำงานในร้าน Mahagiri มีข้าวสารเม็ด ๆ ติดอยู่ที่หน้าผากด้วย ถามได้ความว่า วันนี้เป็นวัน Ceramony ...

รูปนี้ ได้รับอนุญาตจากสาวเจ้า และหมอก็ไฟเขียว อนุญาตให้ด่ำ ด๊ำไปถ่ายรูปสาวได้ .. ขอบคุณคับผม






อิ่มข้าวแล้ว ลุง Dewa พาไป Pura Alun KulKul Besakih หรือ Mother Temple วัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบาหลี ใหญ่ที่สุดในบาหลีด้วยเช่นกัน ภายในวัดนี้ประกอบไปด้วยวัดเล็ก ๆ อีก ๒๓ วัดในเนื้อที่เดียวกัน เรียงรายไปตามไหล่เขากว่า ๗ ขั้น


ทางขึ้นวัดเป็นทางลาดยาวสัก ๑ กม. ตอนที่เราเดินมีเจ้าถิ่นมาเซ้าซื้เราให้ขึ้นรถเครื่องเขาขึ้นไป ตามเราไปจนถึงครึ่งทางน่ะ สงสัยคิดว่าด่ำ ด๊ำเป็นคนบาหลีพาหมอมาเที่ยว


แล้วก็มีคนท้องถิ่น ชอบมาอ้างกับนักท่องเที่ยวว่า วัดกำลังทำพิธีห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไป จะเข้าได้ก็ต้องมีไกด์พาเข้าไป ก็พวกเขาน่ะแหละ ....มีหรอจะได้เงินจากเรา ศึกษามาอย่างดีแล้วคับผม ไม่ยอมเสียรู้ใครง่าย ๆ หรอก




ด้านหลังวัดนี้เป็นภูเขาไฟ Mount Akung หรือ Kunung Akung ครั้งหนึ่งที่วัดเคยมีพิธีบูชาเทพครั้งยิ่งใหญ่ มีประธานาธิบดีเป็นประธาน มีแขกเหรื่อจากต่างบ้านต่างเมืองมาร่วมพิธีกันเนืองแน่น




แต่แล้วก็ข่าวเตือนมาว่าจะเกิดภูเขาระเบิดในวันประกอบพิธี ไม่มีใครเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นจริง ภูเขาไฟเกิดระเบิดพ่นลาวา หินหลอมละลายออกมามากมาย ผู้คนที่อาศัยอยู่แถบนั้น ตายเป็นหมื่น






แต่วัดเบซากิ กลับรอดพ้นจากการทำลายของภูเขาไฟไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ เลยได้ชื่อว่า วัดศักดิ์สิทธิ์แห่งบาหลี .... ถ้ามาบาหลี อย่าพลาดที่จะมาชมวัดนี้นะคับผม





ตอนที่ถ่ายอยู่เกือบถึงชั้นสูงสุดของวัดแล้ว ......วัดเบซากิใหญ่มาก ใหญ่จนเก็บภาพไม่หมด





ร้านขายของที่ระลึก ที่ตั้งอยู่เรียงรายทางขึ้นวัด ไม่เซ้าซี้นักท่องเที่ยวด้วย เห็นกล้วยลูกสีส้ม แต่ส้ม กลับไม่ส้มอย่างที่คิด แล้วก็ลูก Selak บ้านเราเรียกสละน่ะแหละ

คำเตือน : กรุณาปอกเปลือกก่อนกิน





อีก ๒ ชั้นก็จะถึงยอดสูงสุดของวัดเบซากิแล้ว เมฆฝนยังปกคลุมมองไม่เห็นภูเขาไฟด้านหลังเลย




ศิลปะวัดนี้ เทียบใกล้เคียงได้กับ นครวัด และนครธม ในประเทศกัมพูชา ยิ่งใหญ่ ลึกลับ และน่าเกรงขาม





มุมนี้อยู่ด้านซ้าย เกือบยอดสูงสุดของวัดแล้ว เงาดำด้านหลังคือภูเขาไฟอากุง.... มุมนี้ ดูกี่ที ๆ มีแต่ความเศร้าแอบแฝงอยู่ .. ความรู้สึกที่สัมผัสได้เพียงผู้เดียว




อีกชั้นหนึ่งก็จะดึงยอดสูงสุดแล้ว ศิลปะในการทำซุ้มประตูอลังการมาก





ชั้นสูงสุดแล้ว ดูเงียบและวังเวงยังไงก็ไม่รู้ มีไกด์พานักท่องเที่ยวไปทำพิธีด้วยเลยล่ะ เลยรีบเดินออกมา





ฟ้าและฝนไม่เป็นใจซะเลย.....มองไปทางไหนก็มืดมิดไปหมด ดำเหมือนคนถ่ายรูปเลย




วัดเบซากิ ยิ่งใหญ่อลังการ เก็บภาพไม่เคยหมดสักที คราวหน้าต้องพาโนรามาซะแร้น




จากวัดเบซากิ ลุง Dewa พาเรามาเที่ยว KlungKlung เสียค่าเข้าประตูคนละ ๑๒.๐๐๐ ว่ากันว่าเป็นพระราชวังเก่าของสุลต่านที่ปกครองเมืองกลุงกลุง ราชวงศ์นี้ต้องหมดสิ้นตอนที่กองทัพเนเธอร์แลนด์เข้ายึดเกาะบาหลี



บนเพดานจะมีรูปวาด ซึ่งเป็นภาพวาดใหม่ เกี่ยวกับเรื่องรามเกียรต์ ... ในภาพเป็นทศกัณฐ์




มีอาคารพิพิธภัณฑ์ มี ๒ ห้อง เก็บข้าวของเครื่องใช้ และรูปภาพของราชวงศ์ไม่กี่ชิ้น .. เลยดูไม่ขลังเท่าที่ควร





นี่คือ กมลัง หมอเรียกว่ากะละมังซะง๊านแหละ แถมยังไปถามหาซื้อซีดี เสียงกะละมังที่สนามบินอีกน่ะ ... ดีนะที่คนบาหลีเขาเก่ง





เพื่อนร่วมเดินทางของเรา มาจากฝรั่งเศส หยุดเที่ยวยาว ๑ เดือน ตระเวนเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้านเรามาแล้ว คนไทยไม่แล้งน้ำใจ ... บุญพา วาสนามี เราคงได้พบกันอีก





ครั้งหน้าพบกับฟ้าใส ๆ ที่ Candidasa ฝั่งตะวันออกของเกาะบาหลี กับโรงแรมที่เราเข้าพัก …..Rama Candidasa Resort and Spa

.
.
.

.
ตรีมอกาเซะ กาเซะเดมอ …….. Bali is so RomAntic (^____^))

.
.
.



วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

BaTmAn :: Bal! is so RomAnt!c (Part 1) - เล่าจากภาพ

.
.


เที่ยวละไม ด่ำด๊ำกับมาดามกูลิโกะ : Bali is so romantic Part 1

กลับมาจากบาหลีแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๙ พฤษภาคม ช่วงบ่าย ๓ โมง อากาศบ้านเราร้อนอิ๊บอ๋าย ต่างราวกับหน้ามือเป็นหลังส้นติง อาการป่วยที่หายไปเป็นปลิดทิ้งตอนอยู่บาหลี ๗ วัน ๖ คืน ก็กลับมาอาละวาดทันที แยกทางจากหมอนก กลับบ้านใครบ้านมัน หมอต้องไปขึ้นเวรต่อ ส่วนด่ำด๊ำ ต้องไปราชการต่างจังหวัดต่ออีก ....

เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว คำว่า “ เปิดเทอม ”ช่างเป็นคำพูดที่แสลงหัวใจเสียเหลือเกิน เทอม ๓ ปี ๒ อีกไม่ช้าก็จะได้เป็นมหาบัณฑิตแล้ว.... พูดยังไง ๆ ก็ไม่เร้าใจอยู่ดี ... ปิดเทอม ๓ เดือนเล่นเอาซะด่ำด๊ำ เพลินไปเลยอ้ะ

ก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ของด่ำด๊ำก่งก๊ง กะมาดามกูลิโกะ มารู้จักบาหลีก่อนเป็นไรไป ไม่รู้ว่าหมู่นี้เป็นไง ฝันประหลาด ๆ เกี่ยวกับทะเล โรงแรมที่ บาหลีเกือบทุกคืนเลย ... สงสัยว่าจะต้องกลับไปอีกรอบ ไปแล้วไปอีก ไปแล้วอยากกลับไปอีก (^___^))




บาหลี เป็นเกาะหนึ่ง ในจำนวนเกาะบริวารนับหมื่นเกาะของประเทศอินโดนิเซีย มีภาษาอินโดนิเซีย เป็นภาษาหลัก มีภาษาอังกฤษเป็นภาษารอง มีภาษาบาหลีเป็นภาษาท้องถิ่น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตาสีตาสาตามบ้านนอก จะพูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วกว่าคนไทยอย่างเรา ๆ แต่ภาษาอินโดที่ว่าก็ดันมาคล้ายคลึงกับภาษายาวีทาง ๓ จังหวัดภาคใต้ของเรายังไงยังง๊าน งานนี้เลยทำให้ด่ำด๊ำพอได้ทักทายเจ้าถิ่นได้บ้างล่ะวะ ยังไงก็ไม่อดข้าว แน่นอน

Selamat Datang – Selamat Jalan (ซาลามัตดาตัง หรือ ซาลามัตจาลัน ) หมายถึง คำทักทาย คล้าย ๆ สวัสดีของบ้านเรา

Terima Kasih ( เทอริมา กาเซะ หรือ ตรีมอกาเซะ สำเนียงทางภาคใต้ของเรา )หมายถึง ขอบคุณ ที่สนามบิน Ngu Rah Rai มีเสียงประชาสัมพันธ์ ขึ้นต้นด้วยภาษอังกฤษ และลงท้ายคำขอบคุณด้วยภาษาอินโดนีเซียว่า

“ Attention please ผู้โดยสารขาออก กรุณาเอาขาเข้าด้วยค่ะ Terima Kasih “

คนบาหลี (Balinese) ประมาณ ๙๙.๙๙% นับถือศาสนาฮินดู มีอิสลามิกชนนิดหน่อยตรงชายทะเลเหนือ Candidasa คนบาหลีเคร่งครัดศาสนาอย่างมาก ไม่แปลก ที่ชาวบาหลีจะย้อนถามพวกเราว่า ....ขโมยคืออะไร ?

อากาศบ้านเขาเย็นกว่าบ้านเราตั้งเยอะ อุณหภูมิเฉลี่ยที่ ๒๖ องศา เกือบทั้งปี แต่ตอนที่เราไปอากาศร้อนไปถึง ๓๒ องศา ... อากาศที่สบายที่สุดเห็นจะเป็นที่ Kintamani ที่แน่ ๆ ในห้องแอร์เย็นสบายที่ซู๊ดดด (^____^))




เที่ยวบาหลีครั้งนี้ หมอนกเป็นคนกำหนดแผนการเดินทางเองทั้งหมด และก็เพิ่งจะรู้ว่าหมอนกเพิ่งจะจองโรงแรมที่ Candidasa ก่อนมาพักค้างคืนแถวสนามบินไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง ของเขาร้อนจริง ๆ คริ คริ

หมอนกวางแผนว่า ลงจากเครื่องก็จะเข้าไปหาที่พักที่เมืองตากอากาศ Kuta และหารถเช่าไปดูหาดทรายขาว ๆ ที่ Nusa Dua กินอาหารทะเลที่ Jimbalan และไปดูพระทิตย์ตกน้ำป๋อมแป๋มที่ Pura Aluwatu ก่อนที่จะขึ้นไปนอนที่ Ubud ๒ คืน แล้วเลยไปเที่ยวที่ Kintamai ก่อนจะปิดท้ายที่ Candidasa อีก ๓ คืน ด้วยโปรแกรมเดินทาง ๗ วัน ๖ คืน

คืนก่อนที่เราจะไปเช็คอินที่สนามบิน เราพักค้างกันที่ The Great Residence ที่อยู่ห่างจากสนามบินเพียงไม่กี่อืดใจ โรงแรมขนาดไม่เล็ก บริการระดับ ๕ ดาว พร้อมรถรับ-ส่งไปสนามบินฟรี .... โรงแรมปลุกเราตอนตี ๓ ครึ่ง ... ได้เวลาแบกเป้ขึ้นหลังแล้วด่ำด๊ำ

เราเช็คอินตอนตี ๔ กว่า ๆ แถมเจอทัวร์คุณป้าไปบาหลีเหมือนกัน ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ แต่มันเป็นสันดานแย่ ๆ ของคนนิสัยไม่ดีมากกว่า ไม่ยอมต่อคิว มาทีหลังแต่ทำเนียนเดินไปแปะเพื่อนที่กำลังเช็คอินซะง๊าน .... แล้วจะมีคิวไว้ทำแป๊ะอะไรล่ะ !!



เช็คอินเสร็จ ก็มาผ่านพิธีการตรวจคนออกเมือง พ้นออกมาก็มาเจอเทวดาตัวดำ ๆ
เย้ !! คนดำก็เป็นเทวดาดำ ๆ ได้เหมือนกันสิน่า (^____^))




รันนี่ ด่ำด๊ำ ไม่นิยมนุ่งกางเกงขาลีบ (เด๋วหนีบจ๊วย) กำลังเดินไปที่ Gate 2



ด้วยสายการบิน Air Asia เที่ยวเช้า ๖ โมง ๑๕ เจอนิงค์ กุลสตรี เป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับด้วยล่ะ.... แต่เธองานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาถ่ายรูปด้วย



กัปตันขับเครื่องบินไปตั้งหลักจนได้ที่ แล้วก็ประกาศว่า … Ready to take off



ใช้เวลาเหินฟ้าเหนือเมฆ อยู่ ๔ ชั่วโมง ไม่เห็นเจอเทวดา นางฟ้าสักองค์ ก่อนถึงบาหลี กัปตันบินผ่านปากปล่องภูเขาที่ยังคงคุกรุ่น....มัวแต่ตะลึงตะลาน เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา ไม่เป็นไร เที่ยวหน้าจะไม่ให้พลาดเลย



Selamat Datang บาหลี... ถึงสนามบิน NguRah rai แล้ว เวลาบ้านเขาเร็วกว่าเรา ๑ ชั่วโมง ขี้เกียจปรับเวลา บวกเอาอีก ๑ ชั่วโมงแล้วกัน เวลาท้องถิ่นขณะนี้ ๑๑.๒๐ น. ... เราแก่ขึ้นตั้ง ๑ ชั่วโมงน่ะ



เดินพ้นออกมาจากงวงช้างก็มาเจอสวนน้ำสไตล์บาหลีในสนามบิน ทางด้านซ้าย



ด้านขวาเป็นประตูเข้า Pura (วัด) ที่จำลองมาไว้ในสนามบิน ทางด้านขวา


ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ด้วยการกรอกข้อมูลเพื่อการคัดกรองโรคไข้หวัดหมู พวกหัวดำตัวดำอย่างด่ำด๊ำ ต้องเดินผ่านช่อง No visa พวกหัวแดงไปช่องชาวต่างประเทศ เพื่อประทับตราเข้าเมืองบาหลี ที่สามารถอยู่ได้ถึง ๓๐ วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า พ้นออกมาเจอที่แลกเงินนับสิบคูหา ตะโกนให้แลกตังค์เสียงเซ็งแซ่ ที่นี่ให้แค่ ๑๐.๑๐๐ รูเปียะห์ ต่อ ๑ ดอลลล่าร์ เราแลกมาแค่ ๑๐๐ ดอลล์ ได้เงินรูเปียะห์มาล้านกว่า


เสร็จแล้วก็เดินหารถเช่าที่มีมามากมายหลายสิบศูนย์ Yoman No.3 หนุ่มผิวเข้มจากศูนย์ไหนก็ไม่รู้ มาเสนอราคา ๓๕๐.๐๐๐ รูเปียะห์ ถูกชะตากัน ก็เลยมากะเขาซะง๊านแหละ




Yoman ตระเวนพาเราหาที่พักที่ Kuta หลายที่ แต่หมออยากพักที่ Masa Inn ในราคา ๓๐๐.๐๐๐ รูเปียะห์ โรงแรมนี้ฝรั่งนักเซิร์ฟบอร์ดพักกันเยอะมาก ไม่แปลกที่เราจะเห็น Surfboard วางอยู่หน้าห้องกันเกือบทุกห้อง แต่ว่าเราไม่ได้แวะดูหาดคูต้ากันซะง๊านแหละ เห็นแต่ไกล ๆ ว่า ทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม คลื่นลูกโต และแดดร้อนอิ๊บอ๋าย




เพราะว่า Kuta เป็นแหล่งโต้คลื่นที่ดีที่สุดติดอันดับโลก นัก boardrider ทั่วโลกจึงหลั่งไหลกันมาพักที่ Kuta กันเนืองแน่น
ที่ Kuta มี KFC และ Mcdonald เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีหลายร้าน มีร้านอาหารไทย ด้วยสิ แถมที่นี่ยังให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดีที่สุดด้วยดิ ๑๐.๕๐๐ รูเปียะห์ ต่อ ๑ ดอลล่าร์




หาที่พักเสร็จ Yoman พาเรามาตระเวนหากีฬาทางน้ำที่หาด Nusa Dua ให้เราเล่น ตรูยังอยู่ชุดเดิมอยู่เลย



..มองเห็นคลื่นลูกโตอยู่ไกล ๆ ที่บาหลีคลื่นใหญ่และแรงมาก คิดหรอว่าจะเล่น ... แดดร้อนอิ๊บอ๋าย ตรูดำพอแระ



Kuta เป็นเมืองที่หนาแน่นไปด้วยฝรั่งผมทอง และอาตี๋ อาหมวยทั้งหลาย รถติดถนัด เห็นอนุสาวรีย์อยู่ด้านหน้า นี่คือ วีรบุรุษของชาวบาหลี ที่ต่อสู้กับกองทัพเนเธอร์แลนด์ที่เข้ามายึดเกาะ ถึงแม้จะมีกองกำลังและอาวุธน้อยกว่า นายทหารคนนี้ก็ไม่วันยอมจำนน ท้ายสุดกองทัพบาหลีทั้งหมดพากันฆ่าตัวตาย



Yoman พาเรามาหม่ำอาหารทะเลที่ Jimbalan ร้านอาหารนี้มองเห็นสนามบินดำ ๆ ลิบ ๆ นั่นแหละ ราคาอาหารทำเอา.... Im broke อาหารทะเลสำหรับเราสองคน ราคา ๖๐๐.๐๐๐ รูเปียะห์ รวมภาษีอีก ๒๑ % กระเป๋าตรูจะไม่ฉีกยังไงไหวล่ะเนี่ย ... จ่ายไปทั้งหมด ๗๐๐.๐๐๐ รวมทิปพนักงาน แกงเหลืองบ้านเรายังหรอยกว่าเยอะเลยอ้ะ ไม่รู้ว่า Yoman ได้ไปกี่เปอร์เซ็นต์ ...งานนี้เครียด เลยฟาดเรียบ ลืมถ่ายรูปไปเลยอ้ะ

พนักงานร้านนี้ เข้าใจว่าด่ำด๊ำเป็นมาเลเซียน ส่งภาษายาวีกะด่ำ ด๊ำ ซะยืดยาว กะอีแค่ถาม เขาว่า What are they doing?


หลังจาก Im broke เพราะเราใช้เงิน ๑๐๐ เหรียญหมดภายในไม่ถึงชั่วโมง ไม่มีที่ให้แลกเงินแล้ว แต่เรายังจะต้องไปต่ออีก Yoman เสนอตัวว่าเขาจะออกค่าตั่วเข้า Pura Alu watu ( ตั้งอยู่บนหน้าผาทางทิศตะวันตก อยู่ตอนใต้ของสนามบิน) ให้เราก่อน มาถึงบาหลีแล้ว ถ้าไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกน้ำที่วัดอาลูวาตู .... เหมือนมาไม่ถึงบาหลี




ถึงวัด Yoman ซี้อตั๋วให้ ทางวัดให้ผ้ามาคาดเอว ๑ ผืน ตามข้อปฏิบัติทางศาสนาฮินดูในการเข้าวัด ต้องนุ่งโสร่ง และผูกผ้าคาดเอว และที่สำคัญ .... ใครที่มีประจำเดือน ห้ามเข้า เพราะตามศาสนาฮินดูเชื่อว่า วัดจะต้องไม่มีเลือดมาแปดเปื้อน .... จริงใจกะเขาและซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยนะคับผม

ปากทางเข้าวัด เราเห็นยายแก่ ๆ ร้องขายของ ความสงสารแล่นเข้าหัวใจ ยายขายอาหารลิง เราสองคนอยากช่วยซื้อ แต่เราไม่มีสักรูเปียะห์ อยากให้เงินดอลล่าร์สักเหรียญ ก็กลัวจะหายว่าเราดูถูกเขา เพราะเราไม่รู้ธรรมเนียมบ้านเขา ได้แต่เดินผ่านยายไป เข้าภายในบริเวณวัด เจอฝูงลิงมากมาย ตัวใหญ่ออกจะเกเรกว่าตัวเล็ก เห็นลิงใหญ่ฉกหมวกสานของนักท่องเที่ยววิ่งขึ้นต้นไม้ ฉกขวดน้ำดื่มจากนักท่องเที่ยว .... และเราเองก็ไม่พลาดจากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน



ระหว่างที่เราพระอาทิตย์ตกน้ำเพลิน ๆ ลิงใหญ่มาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาฉกแว่นไปจากดั้งหมอนก .. รวดเร็วปานพายุ มันวิ่งหนีหายไปในแนวป่า รู้สึกสงสารหมอขึ้นมาจับใจ ถ้าไม่มีแว่น หมอจะเห็นหน้าด่ำด๊ำชัดไหม หมอจะมีความสุขกับการเที่ยวครั้งนี้ไหม




สวมบท แบทแมน ฮีโร่ตัวดำ ๆ วิ่งไปยืมไม้จากคนท้องที่แถวนั้น แล้ววิ่งตามเจ้าลิงเกเรไป เห็นมันกำลังเคี้ยวแว่น และหนีขึ้นไปบนยอดไม้ หมดปัญญาด่ำด๊ำแล้ว พูดภาษาลิงไม่รู้เรื่อง เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยได้เรียนภาษลิงสักที

ในไม่ช้า ก็มึลุงแก่ ๆ เจ้าบ้านวิ่งเข้ามาช่วย โดยการยื่นหมูยื่นแมวกับเจ้าลิงใหญ่ โยนมันต้มให้มัน แล้วมันก็โยนแว่นตาลงมา ท้ายสุดลุงคนนั้นก็มาเรียกค่าเหนื่อยจากเราไป ๒ เหรียญ มันแพงไปสำหรับเขา เราถูกนักท่องเที่ยวมาเลเซีย เตือนว่าทำไมจ่ายเยอะจัง ก็เราไม่มีเงินรูเปี๊ยะห์ ทำไงได้ล่ะ แต่มันก็ถูกสำหรับเรา ... กับการที่ไม่ต้องไปตัดแว่นใหม่ต่างบ้านต่างเมือง




วันนี้ ( วันอาทิตย์ที่ ๓ พค.๐๙) มีแสดง Kacak ( รามายณะ หรือ รามเกียรต์บ้านเรานี่แหละ) Yoman ไม่ได้ตีตั๋วให้เรา จะออกไปก็เสียดายทำเล ....งานนี้เลยได้ดูฟรี บาปที่ไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจก็มะรู้



ดูการแสดงไป ดูพระทิตย์กำลังจะลับฟ้า หันไปหันมา อ้าว พระอาทิตย์หายไปซะแระ



ฉากนี้ หนุมานกำลังถูกเผา เป็นหนุมานแดดเดียว ... คนที่เล่นเป็นหนุมานเล่นได้น่ารักมาก เรียกเสียงปรบมือได้ตลอดงาน

เสร็จแล้ว Yoman พาเรากลับมาแลกเงินที่ Kuta อีกสองล้านกว่า และส่งเราเข้าที่พักที่ Masa Inn เกือบ ๓ ทุ่ม รถติดโคตร ๆ ยังกะอยู่ในกรุงเทพฯ ยังไงยังง๊าน งานนี้ Yoman มีตุกติกกันนิดหน่อย ชาร์จค่าเช่า ค่าตั๋ว ขอค่าล่วงเวลาเรา ขอทิปเพิ่ม ด้วยคำว่า ๑๐๐.๐๐๐ Yes, Please

มีหรือว่าจะได้ ก็ตุกติกกะเราก่อนนี่นา หมอนั่นโดนหมอนกสวดยาวเหยียด ... เอาทิปไปแค่ ๕๐.๐๐๐ พอ มีคำถามกลับมาว่า Are you ok? พร้อม ๆ กับเสียงปิดประตูรถดังปัง ... ถึงตอนนั้นด่ำด๊ำก็เดินพ้น ไปแล้ว ... ท่าดีทีเหลวจริง ๆ เลย Yoman No.3




อาหารเช้าที่ Masa Inn ..Omlette กระเที่ยม ขมมปังปิ้งกะน้ำชา ของด่ำ ด๊ำ
ของหมอนก แซนวิชทูน่า แต่ไหงเป็นปลากระป๋อง กะกาแฟบาหลี (ของแท้ต้องมีตะกอนนอนก้นอยู่พองาม)



หม่ำเสร็จ เดินมาเจอสาวน้อยท่าทางขี้อาย กำลังจะไปลงสระ เห็นด่ำ ด๊ำ ดันวิ่งหนีไปหาแม่ ซะง๊านแหละ ......แม่เขาจะคิดว่า....เราแกล้งลูกเขาไหมเนีย



อิ่มเสร็จ ขึ้นห้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้ว Kuta เช็คเอาท์เพื่อเดินทางไป Ubud ด้วยรถเช่าคันนี้พร้อมคนขับจากโรงแรมในราคา ๑๘๐.๐๐๐ .... หมอนกไม่ต่อเขาสักคำ



Kuta รถยังติดเหมือนเดิม คนขับพาลัดเลาะไปเส้นทางลัด ไปไหนโผล่ทางไหนบ้างก็ไม่รู้ ผ่านโรงแรม Ayodya ที่เราคุ้นเคยจากเว็บด้วย ... ขึ้นเขาลงห้วยแต่พองาม ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึง Ubud

คนขับพาวนอยู่ที่ถนน Monkey Forest ซะ ๔ รอบเพราะดันหาโรงแรม Gayawatri ที่เราอยากพักไม่เจอ .... ท้ายสุดก็เจอ ... แต่ว่าห้องพักสำหรับ ๔ คน....แพงเกินไป เรามาแค่ ๒ คนเองอ้ะ



สุดท้ายก็มาปะ Guest House เล็ก ๆ อย่าง Swan Inn อยู่ปากทางเข้า Gayawatri มีผู้ดูแลชื่อ Yoman No.3 (อีกแล้วหรอ) คิดค่าเสียหาย ๑๗๐.๐๐๐ ต่อหนึ่งคืน ... ไม่มีแอร์ สบู่ ยาสระผม แต่มีอาหารเช้าให้เรา หน้าห้องพักเรามีนาที่ไม่ใช่เมษา พฤษภา แบบขั้นบันไดด้วยดิ ได้บรรยากาศบ้านนอกจริง ๆ เราพักที่นี่ ๒ คืน (ตอนกลางคืนอากาศเย็นเฉียบ)




เก็บข้าวของเข้าห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าตระเวนถนน Forest Monkey ในใจกลางเมือง Ubud เจอ Pura นี้วัดแรก สีสันท้องฟ้าได้ใจจริง ๆ อากาศเมืองนี้เย็นสบายกว่าที่ Kuta อย่างชัดเจน



ได้เวลาหม่ำข้าวกลางวันแล้ว เราแวะที่ร้านอาหารชื่อ Pignou di penyu เจ้าของเป็นมาดามฝรั่งเศสแก่ ๆ คนหนึ่ง ... ราคาอาหารไม่แพงอย่างที่คิด

ด่ำ ด๊ำ เลือกกินอาหารประจำถิ่นอย่าง Nasi Goreng ข้าวผัดบาหลี มีไข่ดาวโปะให้ ๑ ใบ พร้อมข้าวเกรียบปลา ๑ แผ่น จานนี้ราคา ๑๕.๐๐๐ .... รดชาดจืดสนิท ขอน้ำปลา มะนาว พริกขี้หนูสักกำได้ ป่าวคับ

หมอนกเลือกสั่ง Mie Goreng เหมือนเส้นมาม่าผัด แต่รสชาติจืดสนิทเช่นกัน รวม Ice tea กะ Smooties ของหมอ รวมภาษีท้องถิ่น ๑๐ % ราคารวมเบ็ดเสร็จ ๖๖.๐๐๐ .... มาแกนาซิ ( ภาษาอินโด) มากินข้าวกันพวกเรา




อิ่มเสร็จ ได้เวลาสำรวจเส้นทาง ผู้คน บ้านเรือนและวัฒนธรรมกันแล้ว .. เห็นป้ายบอกชื่อถนน Monkey Forest อยู่ด้านหน้า
ตลาดอุบุด ได้ชื่อว่า เป็นบาหลีแห่งแท้จริง ทั้งวัด บ้านเรือน ข้าวของ เครื่องใช้ แถมมีตลาดขายของ ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ คือ ไม่มีอะไรสักอย่าง เพราะว่าเรือรบยันไว้น่ะเอง

ซะที่ไหนล่ะ มีตั้งแต่เสื้อผ้า ของที่ระลึก ของประดับตัว ประดับบ้าน ประดับปุระ (วัด) ที่บอกราคาแพงลิบลิ่ว ต่อได้ต่อเอา หากเราไม่พอใจในราคาก็เดินออกไปได้ทันที แต่ทันทีที่เราหันหลัง เราจะได้สินค้าในราคาที่เราพอใจทันที

ที่สำคัญ พ่อค้าจะมีคำพูดดี ๆ น่ารัก ๆ พูดกับลูกค้าว่า Good for you, Good for me ถ้าพ่อค้า แม่ค้าพูดว่า “ บังครุด ” เมื่อไรล่ะก็ แสดงว่าคุณต่อซะจนเขาเจ๊ง ไม่เหลืออะไรไว้กินแระ เจอมาหมดแระเช่นกัน (^____^))

เดินเที่ยวในบาหลี จนเขาคิดว่าเป็นคนบาหลีพาหมอนกเที่ยว ดำเหมือนกัน เข้ม เหมือนกัน เลยโดนทักทาย ถามตอบเป็นภาษาบาหลีเสมอ ๆ ส่วนหมอนกเป็นนักท่องเที่ยวโกอินเตอร์ เป็นเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ไปโน่น ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาจะยกมือสวัสดีเรา บาหลีน่ารักซ๊า ...ยังไงก็ภูมิใจในความดำของเราเสมอ คริ คริ (^____^))




ตึกทำการบริษัทอะไรไม่รู้ หน้าตึกเป็นรูปพระนารายณ์ทรงการูด้า ... Garuda ก็คือครุฑบ้านเรา นั่นแล มีสายการบินสัญชาติอินโดนิเซียชื่อ Garuda Airline ด้วยดิ



เราเดินมาเจอพี่สาวคนนี้ ขอถ่ายรูปด้วย แต่ว่าแกอายไม่อยากให้ถ่าย กำลังจะไปทำบุญที่วัด บอกให้เราเดินไปดูได้ ... เราก็เลยเดินตามไป กดรูปไป



เดินประมาณ ๑ กิโลแม้ว ก็มาถึงวัดนี้ ที่มีพิธีเฉลิมฉลอง (Ceremony) มีการตกแต่งประดับประดาวัดอย่างสวยงาม พอ ๆ กับผู้หญิงที่แต่งตัวสวยเข้าวัด ... ตาคนที่อยู่หน้าประตูออกมาดักหน้าเรา ... เหมือนจะไม่ให้เราเข้าไป เขารู้หรอกน่า ว่าเข้าไม่ได้ เพราะไม่ได้นุ่งโสร่ง ผูกผ้าคาดเอว เราก็ไม่ถาม ไม่ทักทายด้วย หยิ่งเป็นนะเฟ้ย




สัญลักษณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า วัดนี้ได้ผ่านพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ประจำเดือนไปแล้ว ด้วยการแขวนใบมะพร้าว ข้าว น้ำตาลไปตามลำไผ่ ของอ่อนจะอยู่ส่วนปลายยอด ส่วนแก่ ๆ จะอยู่โคนต้น ...นี่แหละ สัจจธรรมของชีวิต



หน้าวัดเริ่มมีร้านขายของมาตั้งขาย แต่ว่าร้านขายของทอดและขนมเด็กเล่นร้านนี้ มาก่อนใครเพื่อน ขายเต้าหูทอด ถั่วทอด ดูแล้วไม่เวิร์ค ได้แต่ถ่ายรูป แล้วก็เดินผ่านไป



เจอโรตีบาหลีระหว่างทาง ด้วยอารมณ์อยากกินของหวาน เดินเข้าถามไถ่ แล้วก็ลองสั่งมากิน ... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด Oh ! So big จนคนขายหัวเราะในความตะลึงตะลานของเรา โรตีที่ว่าเป็นขนมปังแผ่นใหญ่ ๒ คู่ ๔ แผ่น ใส่ได้ ๒ ไส้ ... เบ็ดเสร็จ ๘.๐๐๐ กินไปได้ตั้ง ๒ วันอ้ะ




เดินไปเดินมา จนเจอวงเวียนเป็นรูปใครก็ไม่รู้ เห็นป้ายบอกว่า ขวามือไป Denparsa เมืองหลวงของบาหลี ซ้ายมือไปไหนไม่รู้ หันหลัง....กลับบ้านนอนดีกว่า




นี่แหละ ห้องพักของ Swan Inn ประตูเข้าห้องเล็กนิดเดียว ถามไถ่ลุง Dewa (ไกด์พาเที่ยว Kintamani) ได้ความว่า ประตูเล็ก แต่ในห้องใหญ่มาก เขาออกแบบให้มีลักษณะเหมือนกระปุกออมสิน เงินไหลเข้า แล้วไม่มีวันไหลออก ... ทำเอาหมอนกเกือบเข้าห้องไม่ได้ เพราะดันเข้าพร้อมเป้ ๑ ใบ คริ คริ (^_______^))

เกือบ ๕ ทุ่มแล้ว อากาศเย็นลงทุกที อาบน้ำ รีบเข้านอน ออมแรงไปลุย Kintamani ต่อ ราตรีสวัสดิ์ Salamat malam

ติดตามทริป Ubud - Kintamani และ Candidasa – Amlapura ในตอนต่อไป ถ้าไม่เปิดเทอมเสียก่อน ... ขอบคุณคับผม (^_______^))
.
.
.

ตรีมอกาเซะ .... กาเซะเดมอ ..... Bali !s so RomAnt!c