วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

BaTmAn :: ลิงจั๊ก ๆ

วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๐๙.๔๙ น.

วันนี้เริ่มต้นด้วยความสงบ สบาย ๆ ชิล ชิล เพราะสมาชิกในห้องออกไปตรวจงานต่างจังหวัดกันหมด เหลือแต่เพียงรันนี่ จากเด็กสุดกลายเป็นผู้อาวุโสที่สุดในทันที ความสงบหายไปในบัดดล เมื่อมีหนังสือแจ้งให้เข้าร่วมประชุมกับสำนักฯ เพื่อเตรียมข้อมูล เตรียมตัวตั้งรับที่ไม่ใช่ต้อนรับผู้ตรวจประเมินจากสหภาพยุโรปที่จะเข้ามาตรวจประเมินเมืองไทยกลางเดือนหน้า..... เผือกร้อน ๆ กำลังอยู่ในมือรันนี่ ไม่อยากกินเลย ขว้างทิ้งได้ไหมเนี่ย

วันก่อนหลังจากได้รับตุ๊กตา ที่น้องสีหนุ่มส่งมาให้และยืนยันว่าเป็นลิงคัก ๆ ที่ไม่ใช่ลิงจั๊ก ๆ รู้สึกเป็นปลื้มได้สักพัก ลูกพี่ ผู้ชายอ้วนพลิ้ว เรียกรันนี่ให้ไปรับของฝาก เป็นผ้าพันคอจากทีมบาร์เซโลนา ทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของลาลีกา สเปน ที่ลูกพี่แอบแว่บไปดูบอลและไปเล่นเวฟกับบาร์เซโลนาแฟนคลับ ตอนไปตรวจรับรองที่ประเทศสเปนมาด้วย ที่สำคัญไม่ลืมของฝากรันนี่ ฮั่นแน่ !! เอาเวลาหลวงไปดูบอลได้ไงเนี่ย ไม่เป็นไร ไม่ถือ มีของฝากให้รันนี่แล้วนี่ คริ คริ (^_____^))




ส่วนตุ๊กตาลิงคัก ๆ ของน้องสีหนุ่มยังคงเป็นที่ข้องใจของพี่หมู กับน้องมุก สองสาวสำนักพระราชวังไม่หาย หาว่ารันนี่เคลื่อนย้ายหลักฐานออกจากห้องพัก เพราะกลัวพี่หมอมาเจออ้ะสิ ขอค่าปิดปาก โห !! ข่มขู่กันเห็น ๆ อย่าเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อยไปกวนใจพี่หมอเลยเนาะ ๆ เพราะตอนนี้พี่หมอตั้งใจประดิดประดอย ใช้สมาธิอย่างแรงกล้า กับการทำเหรียญให้พ่อนาค ญาติของหมอได้แจกทานก่อนเข้าโบสถ์น่ะ.... เชื่อรันนี่เต๊อะ !!! (^_____^))

วันก่อนมีโอกาสแว่บกลับไปนอนบ้าน ๑ คืนรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของอารมณ์และบรรยากาศรอบตัวเอง ท้องฟ้าสว่างไสว เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ดาวศุกร์ ดาวประจำเมืองยังคงอยู่ในที่มันเคยอยู่ทางทิศตะวันตก ไม่ว่าจะคืนเดือนมืดหรือคืนเดือนหงาย ดาวศุกร์ยังคงสุกปลั่งเปล่งแสงประกายอยู่บนฟ้าไกล สายลมยังคงพัดไหว ปลิดปลิวดอกสนุ่นสีขาวปลิวว่อนรอบบ้าน บรรยากาศวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง หากได้อยู่กับครอบครัวกับบรรยากาศแบบนี้ ....ไม่อยากจากไปไหน อยากให้ผู้คนและความรู้สึกยังคงอยู่แบบนี้ตลอดไป



หลานจ๊วย “ น้องกานต์ ” หนุ่มน้อยหน้าหวาน ที่พาใครต่อใครเข้าผิดในเพศของตัวเองมานักต่อนัก เข้าเรียนอนุบาลแล้ว เห่อขนาดให้แม่โทรมาหาบอกว่าเขาเข้าโรงเรียนแล้ว เห่อขนาดใส่ชุดนักเรียนนอน เห่อขนาดเอาการบ้านที่ครูสั่งมาให้ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน แต่ไม่เคยปริปากบอกเรื่องราวที่โรงเรียนแม้สักคำ ถ้าหากเขาไม่พูด อย่าหวังว่าจะได้รู้อะไรจากตัวเขาเลย .. ความฝันที่เด็กตัวน้อยอยากจะเป็นนักร้องหนุ่มหน้าใส สไตล์เกาหลี เปลี่ยนไปหรือยังหนอ ?




หลานจ๊อย น้องสาวตัวน้อยข้องน้องกานต์ อายุไม่ถึงขวบดีกำลังโตวันโตคืน ที่สำคัญอารมณ์ดี ลั๊นลาเกินเด็ก ไม่เคยร้องงอแงให้ได้ยิน สารพัดชื่อจะเรียกกัน น้องกิ่ววิ่ว น้องซิวซิ่ว น้องแก้ม น้องกะทิ น้องจ๊อย แต่ชื่อที่น้องกานต์ตั้งชื่อน้องสาวตั้งแต่น้องอยู่ในท้องแม่ว่า “ น้องกิ่ววิ่ว ” และยังคงเป็นชื่อที่เรียกน้องสาวตัวเล็กจนถึงทุกวันนี้ รักน้อง แต่ก็ชอบแกล้งน้อง หนทางเดียวที่ปราบน้องกานต์ได้ก็ด้วยคำขู่และได้ผลที่สุด ถ้าแกล้งน้องอีกจะยกน้องกิ่ววิ่วให้ป้าหมอนะ แล้วคำพูดนี้นี่เองที่น้องกานต์เอาไปขู่ยายต่อว่า ถ้ายายขี้บ่น น้องกานต์จะยกน้องกิ่ววิ่วให้ป้าหมอ ... เล่นกับพ่อดิ !! เพื่อป้าหมอแล้ว น้องกานต์ทำได้เสมอ (^_______^))





ความฝันที่จะทำบ้านหลังน้อยบนเนินยังคงอยู่ในสมอง บ้านทรงกาแลเรือนไม้สัก ตั้งอยู่บนเนินดิน มีสนามหญ้าสีเขียว และต้นปาล์ม มะพร้าว ต้นปีบ และลีลาวดีส่งกลิ่นหอมอยู่รอบ ๆ บ้าน ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกหลังเกาะเรียน มีพระจันทร์ข้างขึ้นและข้างแรม เห็นดาวศุกร์เปล่งประกายทางทิศตะวัน
ทุกค่ำคืน มีต้นสนุ่นเรียงรายอยู่ที่ท่าน้ำ ปลดปล่อยความรู้สึกไปกับสายลมและสายน้ำที่ไม่ไหลคืน เป็นสิ่ง ที่รันนี่อยากทำให้คนข้างกาย คนที่เราร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่ใช่ทั้ง 365 วัน .... แต่ทุก ๆ วันเรามีกัน บ้านพักตากอากาศสำหรับเราสองคน ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ แต่ แต่ว่า ... ช่างไม่พร้อม........ รอไปก่อนเน้อ !!! …….ลิงคัก ๆ ของน้องสีหนุ่ม แต่ลิงจั๊ก ๆ ให้กับแม่ หมอนก น้องกานต์และน้องแก้มนะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

BaTmAn : Thank yOu

วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๑๐.๑๙ น.


ผ่านไปแล้วกับการสอบวิชา Nutrition เป็นวิชา Biochemistry เทอมที่แล้วยกแผงที่เอามารื้อฟื้นใหม่ งานนี้รู้สึกอับอายอาจารย์ยังไงก็ไม่รู้ กับการสร้างตำราใหม่ตอบข้อสอบอาจารย์ซะยังง๊านแหละ ยาก ๆ รันนี่ไม่ ง่าย ๆ รันนี่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ก็มันง่ายเกิน ง่ายเสียจนมองข้ามความสำคัญเลยไม่อ่านมันซะเลย....โสนะหน้า (^________^))

ตอนนี้ผมที่เคยโดนช่างหั่นเกือบติดหนังหัวเริ่มยาวแล้ว เพื่อนในห้องบอกว่า รันนี่ไว้ผมทรงม้ากะทิ กะทิไหนวะ ได้ยินไม่ถนัด ผมม้าของน้องกะทิแล้วไป ถ้าเป็นหมากะทิ ต้องรีบรักษาด่วนก่อนที่จะเป็นหมาหนังกลับ คริ คริ (^________^))




หมดทริปเดินทางไปตรวจงานต่างจังหวัดแล้ว รู้สึกเบื่อและเลี่ยนกับอาหารทะเลอย่างแรง ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บริษัทแรก จนบริษัทท้ายสุด รู้ว่าอยากให้หม่ำของอร่อย ๆ กัน
แต่ถ้าหลาย ๆ วันมันก็เบื่อได้เหมือนกันน่ะ ไปตรวจที่สมุทรสาคร แต่พาไป หม่ำที่สมุทรสงคราม “ร้านแดง ” ร้านขึ้นชื่อของแม่กลอง ปลากะพงตัวยาวเป็นศอก กุ้งตัวโต ๆ อีกวันหนึ่งพามาหม่ำที่ “ ร้านลมทะเล ” ร้านขึ้นชื่อของสมุทรสาคร งานนี้ปูม้าตัวโต ๆ กุ้งตัวใหญ่ ๆ มันมาพร้อมกับคลอเลสเตอรอล ที่มีอยู่ในตัวก็มากพอแล้วคับทั่น บังคับให้กินให้หมด .....ทำร้ายจิตใจกันอย่างแรงขอบอก .... งานนี้ผู้จัดการบริษัทฯ ลงทุนแกะปูให้รันนี่ทาน อยากบังคับกันนัก แกะซะให้เข็ด คริ คริ (^________^))



แถมบริษัทฯ ท้ายสุดที่ชลบุรี เจ้าของบริษัทฯ แต๊ะเอียก่อนวันตรุษจีนด้วยปูม้าต้มตัวใหญ่มาก ๆ จำนวนนับสิบใส่ถุงแพ็คอย่างดีให้รันนี่ไปหม่ำที่มหาวิทยาลัยฯ ส่วนเพื่อนร่วมทีมอีกคนได้อีกหลายสิบตัวกลับบ้าน ขอแลกเป็นส้มสักเข่งยังจะดีเสียกว่าอีก รันนี่จะเอาไปแจกน้อง ๆ หน้าหอ .... แต่ว่าสายไปเสียแระ หมอพาปูกลับไปฝากหม่ามี๊หมดแระ (^________^))




เดือนหน้าถูกวางตัวไปตรวจงานที่ตราดกับระยอง ๑ อาทิตย์ ต่อด้วยชุมพรอีก ๑ อาทิตย์ คงไม่แคล้วต้องกินอาหารทะเลอีกตามเคย แค่นึกถึงการเดินทางก็เบื่อแระ ชุมพร ...จังหวัดแรกของประตูภาคใต้ ดูเหมือนจะดีที่ไม่ต้องลงไปใต้มากกกว่านี้ ที่ไหนได้ ไม่มีเครื่องบินลงซะง๊านแหละ กรรมของรันนี่ซะแล้ว วางแผนกันว่าจะไปรถไฟ กรุงเทพฯ – ยะลาเที่ยวดึก เพื่อให้ทันตรวจงานตอนเช้า ขากลับไปขึ้นเครื่องที่สุราษฏร์แทน ....ตอนนี้เปลี่ยนใจแระ ขอรถหลวงพร้อมคนขับดีกว่า เพราะเรามีแผนจะไปไซร้ ไซร้ทั้งคืน เอ๊ย Sight- Seeing เลาะหาดทุ่งวัวแล่น ไหว้เสด็จกรมหลวงชุมพร กันตะหากล่ะ คริ คริ (^________^))

ผ่านพ้นปีใหม่มาก็นานแระ จนเข้าตรุษจีนเข้าไปแระ ยังไม่ได้เขียนเรื่องราวที่ไปเที่ยววังน้ำเขียวเลย ขออัพเดท เรื่องโทรศัพท์ผีสิงของใครบางคนดีกว่า ที่วันดีคืนดีก็โทรหา ทั้งที่เราไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไร วันก่อนมีสายเข้ากลางดึก สงสัยโทรศัพท์คงจะคิดถึง เลยแอบโทรมาอัพเดทเหตุการณ์ให้ฟังซะง๊านแหละ แว่ว ๆ ว่า เจ้าตัวเล็กชอบนอนเปิดพัดลมและห่มผ้า จะนอนกับพี่โอ จานอนกับพี่อุ๊ (อันหลังคิดเอง คริ คริ ) บลา บลา ... ถ้าบังเอิญเจ้าเครื่องแสบนี่มันแอบโทรมาตอนเจ้าของเครื่องกำลังกุ๊กกิ๊กกะแฟน .... รันนี่มิต้องฟังละครแบบ X X X…. R เติม S ...อ่าส์ ... Zeed คลื่นของคนวัยฟัน เพลินไปเลยหรอ ๕๕๕๕ (^________^))






แต่นี่ของจริง เสียงจริง ชัดเจน ไม่มีผีสิงแน่นอน ของขวัญพร้อมการ์ดอวยพร .... จากน้องสาวน่ารักในบล็อกคนหนึ่ง ขอบคุณคับผม....สำหรับการ์ดอวยพร และตุ๊กตา ... ที่พี่รันนี่ตาไม่ถึง มองเห็นเป็นแกะ ซะง๊านแหละ เดือดร้อนพี่สาวจากสำนักพระราชวังต้องมาตัดสินว่า ..... นี่มันตุ๊กตาลิงชัด ๆ พี่สาวเลยจะทำตัวเป็นบ่างช่างยุ ขู่รันนี่ถ้าไม่ให้ค่าปิดปาก ถ้าเรื่องนี้ถึงหูหมอ .. ... รันนี่งานเข้าแน่นอน ... พี่หมอของรันนี่ใจดี๊ดี มีเหตุผลตะหากเนอะ ๆ ใช่ไหมครับพี่หมอออ จุ๊บ ๆ (^_______^))

ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้แก่กัน เรารู้จักกันมาเนิ่นนานหลายปีดีดัก นานเสียจนคนรู้สึกดี ๆ ยังไงก็ยังเป็นความรู้สึกดี ๆ อยากให้น้องพบแต่สิ่งดี ๆ คนรอบข้างดี ๆ คนข้างตัวดี ๆ เพื่อนร่วมงามดี ๆ กิจการดี ๆ และขายดี ๆ หน้าที่การงานดี ๆ เจ้านายดี ๆ และใจดี ๆกัลยาณมิตรดี ๆ แต่สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอให้สุขภาพดี ๆ มีหัวใจดี ๆ ทั้งหมดนี้พี่รันคงเสกให้ไม่ได้ ... อธิษฐานแล้วขอ... แล้วรีบรับสิ่งดี ๆ นี้ไว้ นะจ๊ะ (^_______^))

ปล.

ผ่านไปครึ่งวัน จนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าตุ๊กตาที่ได้เป็นตัวอะไร จะทะเลาะกันตายแระ คนให้รีบมาเฉลยซะเด๋วนี้เลย ก่อนที่มันจะโดนฉกไปเฉลยที่อื่น.... คริ คริ

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

BaTmAn : ด้วยจิตคารวะ



ด้วยจิตคารวะ
วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๑๔.๕๖ น.

คืนวานนี้ ... กลับมานอนที่กรุงเทพฯ แล้ว รู้สึกจิตใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ช่างเป็นอาทิตย์แห่งความวุ่นวายกับการไปตรวจงานต่างจังหวัดหลายทริป และการเปลี่ยนตารางเรียน สับไปสับมาจนวุ่นวายไปหมดทั้งที่มีอาจารย์สอนกันแค่ ๓ คน เปลี่ยนตารางเสียจนด่ำด๊ำ ไม่มีโอกาสกลับไปเจอหน้าคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย แต่ที่แน่ ๆ อาจารย์เลื่อนสอบ ไปอาทิตย์หน้า ทำให้มีเวลาหายใจได้ยาว ๆ อีกครั้ง

“ ให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง ” ยังไงมันก็คงดีกว่าให้เหล้า = แช่ง อย่างแน่นอน วันครูที่ผ่านมาด่ำด๊ำ มอบ ธรรมะที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยหนังสือเกิดเพราะกรรมหรือความซวย หนังสือไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น หนังสือทวาร ๖ ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง และหนังสือ The Top Secret (หนังสือต่อยอด The secret ของฝรั่งที่แปลโดย อ.จิระนันท์ พิตรปรีชา) ของทันตแพทย์สม สุจีรา ทั้งหมด ๔ เล่ม มอบให้อาจารย์ ๔ ท่าน ...

รู้สึกดีใจ...ที่อาจารย์ชื่นชอบหนังสือที่ลูกศิษย์ให้ ... และยังคงมีความเชื่อที่ว่า “ การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวงอย่างแน่นอน ”





วานนี้เป็นวันเผาศพ “ ป้า ” พี่สาวคนเดียวของพ่อ เป็นญาติคนแรกที่พ่อพาไปรู้จักนับแต่เริ่มจำความได้ ป้า..
เป็นพี่สาวที่พ่อรักและเคารพมากที่สุด และป้าก็เป็นพี่สาวที่รักพ่อมากที่สุดเช่นกัน แม้กาลเวลาจะพรากพ่อไปยังที่ห่างแสนไกล..... ป้ายังคงเก็บภาพบานใหญ่ของพ่อไว้ที่หัวนอน....ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของป้าเอง

หลานคนนี้ไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่มีโอกาสได้ส่งป้ากลับสวรรค์ มีโอกาสได้แค่กลับไปรดน้ำและกราบลาป้าเป็นครั้งสุดท้าย เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ถวายปัจจัยพระ และเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่มาร่วมงามป้าเท่านั้น ....แม้เป็นเพียงปัจจัย แต่ทั้งหมด ..หลานทำด้วยจิตคารวะที่มีให้กับป้า ผู้เป็นที่รัก ทดแทนกับการไม่ได้อยู่ร่วมงาม ... ทดแทนกันได้ไหม ?

บุญและกรรม นำพาเราเกิดมาพบมาเจอกันเป็นวงศ์วานว่านเครือ มีความรักและผูกพันตามกาลเวลาที่ผ่านเลย ... แต่ชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก มีเกิดย่อมมีแตกดับ ตายเพื่อไปเกิดใหม่ ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์ ... ภาพที่งดงามยังคงอยู่ในความทรงจำที่ดีเสมอมา ไม่ว่าชาตินี้และชาติไหน .. หลานคนนี้ขอเกิดเป็นลูกเป็นหลานของป้าตลอดไป

จงรักเสียเมื่อเป็นเวลาแห่งรัก
ไม่นานนักให้แสนรักก็ต้องลา

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

BaTmAn : Nobody knOws


๕ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๒๐.๒๘ น.

วันนี้กลับเข้าอยู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรแล้ว ค่ำคืนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ท้องฟ้าสีแดงไปด้วยแสงสะท้อนจาก แสงไฟ มองไม่เห็นดวงดาวสักดวง Long weekend ยาว ๒ อาทิตย์ที่ขออาจารย์ไปเที่ยวลั๊นลา กำลังจะหมดความเป็นไทลงในไม่ช้า


๒ – ๓ วันนี้มีโปรแกรมต้องไปตรวจงานข้างนอก และเสาร์นี้ก็ต้องกลับเข้าสู่ชั้นเรียนแล้ว ไม่อยากไปเรียนหนังสือแต่อยากกลับบ้านอย่างที่สุด เด๋วก็รู้ว่าเบี้ยวหรือโดด เพราะหมอนกไฟเขียวแล้วว่า ตามใจด่ำด๊ำ เพราะอาทิตย์นี้เราไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว (^________^))

คริสต์มาสที่ผ่านมาเราสองคนไปเที่ยว อ. ปากช่อง กับออ.วังน้ำเขียว เราก็ได้บ้านพักที่ บ้านภูนรินทร์ อ.ปากช่อง ที่จองผ่านเน็ตไว้แล้ว .... ๒ คืนที่เหลือหมอนกว่าไปหาเอาข้างหน้า ที่พักเยอะแยะ ..... เด๋วก็รู้

เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนเก้าโมงกว่า ๆ วางแผนจะไปหม่ำสเต๊กที่มวกเหล็ก มวกเหล็กก็แล้ว กลางดงก็แล้ว ปากช่องก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเล็กสเต๊กเหมือนที่หมอวาดฝันไว้เลย ความหวังในการกินสเต๊กเริ่มลางเลือน เมื่อท้องเริ่มหิว จากเล็กสเต๊กเปลี่ยนไปเป็นน้ำพริกปลาทู อ.ปากช่องเฉยเลยอ้ะ ยังไงเราก็ทำให้ท้องเราอิ่มได้เหมือนกันล่ะน่า


ปัญหาเริ่มรุมเร้า เมื่อเรายังไม่รู้ว่า ต.วังกระทะ ที่เป็นที่ตั้งของบ้านภูนรินทร์อยู่ตรงไหนของปากช่อง โทรศัพท์ก็แล้ว ท้ายสุดเราได้แผนที่จากการเปิดเน็ตในรถน่ะแหละ มีคำพูดสอนกันต่อ ๆ กันมาว่า “ ถนนอยู่ที่ปาก ” เราวิ่งเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เลี้ยวซ้ายเข้าทางเข้า อ.วังน้ำเขียวก่อนขึ้นเขาใหญ่นิดนึง ผ่านไร่อ้อยสีเขียว ทุ่งข้าวโพดเหี่ยว ๆ สีเหลืองที่ชาวบ้านเก็บฝักกันไปหมดแล้ว ไร่มันสำปะหลัง แปลงแล้วแปลงเล่า สีเขียวสลับสีเหลืองบนเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าแบบไม่มีวี่แววว่าจะถึงสักที “ หมอคิดได้ไง มาพักในไร่อ้อยเนี่ย !! ” แต่ก็ยังดีที่บ้านภูนรินทร์มีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ทุกแยก ...รถคันเดียวโดด ๆ บนถนนลาดยางสลับลูกรังสีแดงกำลังมุ่งไป



๓๐ กิโลผ่านไป จุดหมายปลายทางก็ใกล้เคียงความจริง เย๊ !! เราเห็นบ้านภูนรินทร์ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของ ต.วังกระทะแล้ว บรรยากาศดีมาก ๆ อากาศยามบ่ายหนาวเย็นพอ ๆ กับช่วงเช้า ภายในห้องเย็นเฉียบอย่างกะอยู่ในตู้แช่
“ให้ตายเถอะโรบิน !! แบ็ทแมนไม่อยากจะอาบน้ำเลย ”
เสียงหมอดุมาว่า “ ไอ้ดำอย่าเวอร์ ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น ”
ด่ำด๊ำ “ (^_________^)) ”


สาวหน้าใสน่ารักคนนั้น ( คาดว่าน่าจะเป็นลูกสาว) ออกมารับหน้าเรา ที่ลานร้านอาหาร บอกว่ายังไม่เก็บค่าที่พักที่เหลือ ค่อยจ่ายวันออก ดู ๆ เหมือนจะใจดี คิดค่ามะพร้าวอ่อนของหมอ ๑๕ บาท แต่ไหงคิดโอวัลตินเย็นด่ำด๊ำตั้ง ๒๕ บาท หรือว่าลูกจ้างจากฝั่งลาวมืนภาษาไทยอ้ะเนี่ย มืนพอ ๆ กับน้องหลงเอ๋อของที่นี่เลย (^_________^))

ตอนเย็นแขกเริ่มทยอยกลับที่พัก ผู้คนเริ่มหนาแน่น หนุ่มสาวรักธรรมชาติคู่หนึ่งนอนเต็นท์ คู่เราก็รักธรรมชาติเหมือนกัน.... แต่ขอนอนบ้านพักพร้อมที่นอนอุ่น ๆ ก็แล้วกันเนาะ ๆ ตอนค่ำที่พักมีอาหารบริการเรา เลือกมุม นั่ง ตามสบาย อยากนั่งไหน นั่ง บริการทุกระดับประทับใจ ไม่รู้ว่าถ้าขึ้น ไป หม่ำบนยอดเขาจะตามไปเสิร์ฟเรา ป่าว เนี่ย (^_______^)) รีบหม่ำไปอาบน้ำนอนเอาแรงไปดูแสงอาทิตย์ยามเช้าวันพรุ่งนี้ดีกว่า





เราอาจจากบ้านเกิดเมืองนอนได้ แต่เราไม่อาจจากคนที่เรารักได้ ต่อให้บรรยากาศสวยงามแค่ไหน ถ้าปราศจากคนที่เรารัก บรรยากาศที่ว่าสวยงามมันก็คงไม่มีความหมาย มีแต่จะทำให้โหยหาถึงความรัก ความอบอุ่นที่เราจากมา และเศร้าใจ... ยามคิดถึงกัน

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

เกิดเพราะกรรม หรือ ความซวย



เกิดเพราะกรรมหรือความซวย
๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
เวลา ๒๒.๓๙ น.

สิ้นปีแล้วสินะ ท้องฟ้าคืนนี้ดูสดใส ดวงดาวข้างแรมยังเต็มท้องฟ้า พระจันทร์ยิ้มแย้มส่งท้ายปีหนู สายลมหนาวยังคงพัดแรง อากาศบ้านนอกช่างดูเงียบสงบและอบอุ่นเสมอที่ได้กลับมาอยู่บ้าน อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา

ปีเก่าที่ผ่านไปรวดเร็วจนจับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ กับเรื่องราวร้อยแปดพันเก้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิต กิจกรรมส่งท้ายปีนี้ ก็คือการเที่ยวส่งท้ายปีเก่าที่ บ้านภูนรินทร์ อ.ปากช่อง กับ ภูสวยลมหนาวรีสอร์ท อ.วังน้ำเขียว ได้พบผู้คน ล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสนที่มีความคิดไปเที่ยวก่อนขึ้นปีใหม่เหมือนกัน ๆ อากาศหนาวสมกับหน้าหนาวใส่เสื้อกันหนาวคุ้มจริง ๆ ส่งท้ายด้วยการขายทองคำแท่งทำกำไรเข้ากระเป๋าไป ๑ ล็อต แล้วก็รอรถหวานเย็นมารับลงจากดอยอีก ๑ ล็อต อยู่อย่างพอเพียง ด้วนการออมเงิน และเพิ่มมูลค่าเงินด้วยการเก็งกำไรทองแท่ง ทำกำไรในช่วงสั้น ๆ ถ้าทองลงบ่อยและขึ้นบ่อย ๆ โอกาสที่จะทำเงินก็คงมีมากขึ้น “ไม่ใช้เกินมี เราก็จะมีเกินใช้ ”

แล้วท้ายสุดก็จบไปแล้วกับการอ่านหนังสือแนวศาสนา “ เกิดเพราะกรรม หรือความซวย ” ของทันตแพทย์สม สุจีรา เจ้าของผลงาน “ พระพุทธเจ้าพบ ไอน์สไตน์เห็น” หนังสือ Best seller คราวนี้กลับมาเขียนเรื่องพุทธศาสนาในแนววิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร แท้จริงแล้วคือ ผัสสะ (สัมผัส) เวทนา (การรับรู้) และตัณหา (ความอยากได้ใคร่มี) ของคนเรานี่เอง เจ้ากรรมนายเวรหามีตัวตนไม่ แท้จริงแล้วคือการรับรู้ของจิตทั้ง ๕๒ ดวงที่อยู่ในกายของเรานี่เอง

ถ้าเรารู้ทันอารมณ์ตัวเองเจ้ากรรมนายเวรก็จะไม่เกิด หากแต่กายดับแต่จิตและความรู้สึกของชาติที่ผ่านยังคงอยู่และพร้อมไปเกิดใหม่ได้ทันทีในเวลาที่หมดลมหายใจ แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องของการบันทึกไว้ในจิตตั้งแต่ชาติภพที่ผ่านมา ชาติไหน ๆ ก็ไม่คลาดไม่แคล้วไปจากกัน คนเรามักมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องกับคำว่า “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ”และเรามักเชื่อกันว่า “ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ” แท้จริงแล้วคือ “ ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว จึงจะเป็นคำสอนที่ถูกต้อง ขออานิสงค์ของการทำดีจงเกิดกับคนที่คิดดีและทำดีทุกผู้คนด้วยเทอญ สาธุ

ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น พระจันทร์ยังคงยิ้มแย้ม ดาวศุกร์ยังคงสุกปลั่งสว่างไสว ผู้คนเริงร่ารอเวลานับถอยหลังเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่วันใหม่ เผชิญกับสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต พระจันทร์ยังคงยิ้มให้ ไม่มีอะไรดีไปกว่ายิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้คนข้างกาย ทำตัวเองให้มีความสุขเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเข้านอนและหลับฝันดี ... ราตรีสวัสดิ์ท้องฟ้าและดวงดาวบนฟ้าไกล



๑ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๐๙.๓๙ น.

วันใหม่ของปีฉลูแล้ว วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ฟ้าเป็นสีฟ้า เมฆสีขาวปุกปุยลอยอยู่บนท้องฟ้า สายลมหนาวยังคงพัดแรงจนรู้สึกหนาวอ่านความหนาวเย็นได้ ๒๖ องศา ที่วังน้ำเขียวอากาศคงเย็นกว่านี้แน่นอน อากาศหนาว แบบนี้ หนาวจนไม่อยากจะลุกจากที่นอน แต่ก็ต้องตื่นด้วยเสียงพระราชดำรัสประทานพรวันปีใหม่จากในหลวง เป็นเวลาที่เฝ้ารอคอยอยากจะได้ยินท่านพูดอีก รู้สึกตื้นตันและปลาบปลื้มที่ตัวเองได้เกิดเป็นคนไทย ในแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน เป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัวภายใต้เงาปีกพญาครุฑที่ยิ่งใหญ่ ได้รับใช้ผืนแผ่นดินไทยทำคุณงามความดีที่มิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อแผ่นดินไทยและมวลมนุษย์ทุกคนที่ยืนอยู่ในโลกใบนี้ร่วมกัน

เวลา ๒๐.๑๙ น.
รู้สึกหดหู่ใจกับข่าวเศร้ารับวันใหม่กับโศกนาฏกรรมไฟไหม้ที่ Santika ย่านเอกมัย ภาวนาว่าขออย่าให้มีญาติเรา เพื่อนสนิทมิตรสหายหรือคนรู้จักกันอยู่ในรายชื่อที่เรียงรายหน้าสถานีตำรวจทองหล่อเลย ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ รู้ตัวเองทั่วพร้อม ” จะทำให้เรามีสติกับตัวเองในทุกสถานการณ์ เหตุร้ายจะกลายเป็นดีหากเราอยู่ด้วยสติ และรับรู้อารมณ์ของตัวเองในทุกลมหายใจ หวลนึกถึงหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อ ๒-๓ วันก่อน “ เกิดเพราะกรรมหรือความซวย ” ทำไมหลายชีวิตต้องมาพบจุดจบในสถานที่เดียวกัน เพราะกรรม หรือ เพราะความซวย เกิดจากกฎความน่าจะเป็นหรือเป็นไปตามกฎทฤษฎียุ่งเหยิง แต่มนุษย์มีลมหายใจ มีความรู้สึก ทุกชีวิตเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตรอด แต่เป็นเพราะแต่ละคนมีโอกาสในการไขว่าคว้าหาทางออกของชีวิตไม่เท่ากัน.. หรือเปล่า ? ร่างกายสูญสลาย แต่จิตและบันทึกของความทรงจำยังคงอยู่ ขอให้ดวงจิตทุกดวงได้ไปสู่ชาติภพภูมิใหม่ตามแต่หัวใจจะต้องการ อย่าได้อาลัยอาวรณ์กับสังขารที่มอดไหม้ไปแล้วเลย ขอพระคุ้มครอง

เมื่อคืนได้ทำสิ่งที่อยากทำ กับการส่งข้อความอวยพรวันปีใหม่ให้กับใครบางคน รู้สึกไม่มั่นใจกับการตอบรับกลับมา ท้ายสุดคือการได้รับการโทรกลับมา รู้สึกตื้นตันจนไม่อยากพูดอะไร ได้แต่ปล่อยให้ปลายสายพูดอยู่คนเดียวจนวางสายในที่สุด ใช่เขาไหม น้ำเสียงช่างดูเศร้าเสียเหลือเกิน แต่แล้วก็ได้รับคำตอบในเช้าอีกวันหนึ่ง โทรศัพท์สายเดิมโทรเข้ามาทบทวนความจำ น้ำเสียงช่างละม้ายเหมือนกันเหลือเกิน เป็นไปได้หรือที่คนสองคน จะ มีน้ำเสียงเหมือนกันจนแยกไม่ออก ยังจำคำพูดที่เคยถามเขาเมื่อหลายปีก่อน “ คน ๆ หนึ่งจะลืมใครคนหนึ่งได้ไหม ” สำหรับตัวเองแล้วไม่เคยลืมเลือนไปสักครา ถึงแม้มิตรภาพแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ จะจบลงไปแล้ว แต่ตัวเองยังคงระลึกถึงเขาอยู่เสมอ .. .. อยากให้เขามีความสุขเหมือนอย่างที่ตัวเองมี