วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552
BaTmAn : Nobody knOws
๕ มกราคม ๒๕๕๒
เวลา ๒๐.๒๘ น.
วันนี้กลับเข้าอยู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรแล้ว ค่ำคืนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ท้องฟ้าสีแดงไปด้วยแสงสะท้อนจาก แสงไฟ มองไม่เห็นดวงดาวสักดวง Long weekend ยาว ๒ อาทิตย์ที่ขออาจารย์ไปเที่ยวลั๊นลา กำลังจะหมดความเป็นไทลงในไม่ช้า
๒ – ๓ วันนี้มีโปรแกรมต้องไปตรวจงานข้างนอก และเสาร์นี้ก็ต้องกลับเข้าสู่ชั้นเรียนแล้ว ไม่อยากไปเรียนหนังสือแต่อยากกลับบ้านอย่างที่สุด เด๋วก็รู้ว่าเบี้ยวหรือโดด เพราะหมอนกไฟเขียวแล้วว่า ตามใจด่ำด๊ำ เพราะอาทิตย์นี้เราไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว (^________^))
คริสต์มาสที่ผ่านมาเราสองคนไปเที่ยว อ. ปากช่อง กับออ.วังน้ำเขียว เราก็ได้บ้านพักที่ บ้านภูนรินทร์ อ.ปากช่อง ที่จองผ่านเน็ตไว้แล้ว .... ๒ คืนที่เหลือหมอนกว่าไปหาเอาข้างหน้า ที่พักเยอะแยะ ..... เด๋วก็รู้
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนเก้าโมงกว่า ๆ วางแผนจะไปหม่ำสเต๊กที่มวกเหล็ก มวกเหล็กก็แล้ว กลางดงก็แล้ว ปากช่องก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเล็กสเต๊กเหมือนที่หมอวาดฝันไว้เลย ความหวังในการกินสเต๊กเริ่มลางเลือน เมื่อท้องเริ่มหิว จากเล็กสเต๊กเปลี่ยนไปเป็นน้ำพริกปลาทู อ.ปากช่องเฉยเลยอ้ะ ยังไงเราก็ทำให้ท้องเราอิ่มได้เหมือนกันล่ะน่า
ปัญหาเริ่มรุมเร้า เมื่อเรายังไม่รู้ว่า ต.วังกระทะ ที่เป็นที่ตั้งของบ้านภูนรินทร์อยู่ตรงไหนของปากช่อง โทรศัพท์ก็แล้ว ท้ายสุดเราได้แผนที่จากการเปิดเน็ตในรถน่ะแหละ มีคำพูดสอนกันต่อ ๆ กันมาว่า “ ถนนอยู่ที่ปาก ” เราวิ่งเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เลี้ยวซ้ายเข้าทางเข้า อ.วังน้ำเขียวก่อนขึ้นเขาใหญ่นิดนึง ผ่านไร่อ้อยสีเขียว ทุ่งข้าวโพดเหี่ยว ๆ สีเหลืองที่ชาวบ้านเก็บฝักกันไปหมดแล้ว ไร่มันสำปะหลัง แปลงแล้วแปลงเล่า สีเขียวสลับสีเหลืองบนเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าแบบไม่มีวี่แววว่าจะถึงสักที “ หมอคิดได้ไง มาพักในไร่อ้อยเนี่ย !! ” แต่ก็ยังดีที่บ้านภูนรินทร์มีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ทุกแยก ...รถคันเดียวโดด ๆ บนถนนลาดยางสลับลูกรังสีแดงกำลังมุ่งไป
๓๐ กิโลผ่านไป จุดหมายปลายทางก็ใกล้เคียงความจริง เย๊ !! เราเห็นบ้านภูนรินทร์ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของ ต.วังกระทะแล้ว บรรยากาศดีมาก ๆ อากาศยามบ่ายหนาวเย็นพอ ๆ กับช่วงเช้า ภายในห้องเย็นเฉียบอย่างกะอยู่ในตู้แช่
“ให้ตายเถอะโรบิน !! แบ็ทแมนไม่อยากจะอาบน้ำเลย ”
เสียงหมอดุมาว่า “ ไอ้ดำอย่าเวอร์ ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น ”
ด่ำด๊ำ “ (^_________^)) ”
สาวหน้าใสน่ารักคนนั้น ( คาดว่าน่าจะเป็นลูกสาว) ออกมารับหน้าเรา ที่ลานร้านอาหาร บอกว่ายังไม่เก็บค่าที่พักที่เหลือ ค่อยจ่ายวันออก ดู ๆ เหมือนจะใจดี คิดค่ามะพร้าวอ่อนของหมอ ๑๕ บาท แต่ไหงคิดโอวัลตินเย็นด่ำด๊ำตั้ง ๒๕ บาท หรือว่าลูกจ้างจากฝั่งลาวมืนภาษาไทยอ้ะเนี่ย มืนพอ ๆ กับน้องหลงเอ๋อของที่นี่เลย (^_________^))
ตอนเย็นแขกเริ่มทยอยกลับที่พัก ผู้คนเริ่มหนาแน่น หนุ่มสาวรักธรรมชาติคู่หนึ่งนอนเต็นท์ คู่เราก็รักธรรมชาติเหมือนกัน.... แต่ขอนอนบ้านพักพร้อมที่นอนอุ่น ๆ ก็แล้วกันเนาะ ๆ ตอนค่ำที่พักมีอาหารบริการเรา เลือกมุม นั่ง ตามสบาย อยากนั่งไหน นั่ง บริการทุกระดับประทับใจ ไม่รู้ว่าถ้าขึ้น ไป หม่ำบนยอดเขาจะตามไปเสิร์ฟเรา ป่าว เนี่ย (^_______^)) รีบหม่ำไปอาบน้ำนอนเอาแรงไปดูแสงอาทิตย์ยามเช้าวันพรุ่งนี้ดีกว่า
เราอาจจากบ้านเกิดเมืองนอนได้ แต่เราไม่อาจจากคนที่เรารักได้ ต่อให้บรรยากาศสวยงามแค่ไหน ถ้าปราศจากคนที่เรารัก บรรยากาศที่ว่าสวยงามมันก็คงไม่มีความหมาย มีแต่จะทำให้โหยหาถึงความรัก ความอบอุ่นที่เราจากมา และเศร้าใจ... ยามคิดถึงกัน